Adjectives

                          Adjectives
Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำที่ไปทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร ได้แก่คำว่า


good
ดี
bad
เลว
tall
สูง
dirty
สกปรก
wise
ฉลาด
red
แดง
fat
อ้วน
thin
ผอม
this
นี้
those
เหล่านั้น
short
สั้น
white
ขาว









ชนิดของ Adjective
Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ
1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ
6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำถาม
7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก
9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์
1. Descriptive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกลักษณะ" หมายถึง คำที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า
good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.
ตัวอย่างเช่น :
The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่)
A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้)
The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำตัวนั้นจับนกได้)
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คือ "คุณศัพท์บอกสัญชาติ" หมายถึง คำที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่
Proper Noun
(เป็นนามเฉพาะ)


Proper Adjective
(เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ)

คำแปล


England


English

อังกฤษ, คนอังกฤษ
America


American

อเมริกา, คนอเมริกัน
Thailand
Thai
ไทย, คนไทย
India
Indian
อินเดีย, คนอินเดีย
Germany


German

เยอรมัน, คนเยอรมัน
Italy


Italian

อิตาลี, คนอิตาเลี่ยน
Japan
Japanese
ญี่ปุ่น, คนญี่ปุ่น
China
Chinese
จีน, คนจีน
ตัวอย่างเช่น :
John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)
Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ)
The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)
ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็นคำคุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitive Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกปริมาณ" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนแน่นอน)ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.

He ate much rice at school yesterday.
(เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้)
Linda did not give any money to her younger brother.
(ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน)
Take great care of your health.
(เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย)
ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทั้ง 3 เป็นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน" หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำนวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ
4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่
one, two, three, four, five, six, seven, etc.
ตัวอย่างเช่น :
She gave me two apples and three organes.
(หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน)
Bill wants to buy seven pens.
(บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)
ข้อสังเกต : two, three, seven เป็นคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอนวางไว้หน้านาม
4.2 OrdinanalNumberal Adjective คือ "คำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก ่
first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc.
ตัวอย่างเช่น :
Tom is the first boy to be rewarded in this school.
(ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี้)
Sam won the third prize last month and the second one last week.
(แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลที่ 2)
I am the seventh son of my family.
(ฉันเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)
ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็นคุณศัพท์บอกลำดับที่วางไว้หน้านาม
4.3 Mutiplicative Adjective คือ "คุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม" ได้แก่ double, triple, fourfold
ตัวอย่างเช่น :
Some roses are double.
(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)
Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.
(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)
ข้อสังเกต : double, triple, เป็นคำคุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม
5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คําที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์), these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same

ตัวอย่างเช่น:
I invited that man to come in.
(ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)
Jan hated such things because they made her ill.
(แจนเกลียดสิ่งเหล่านั้นเพราะมันทําให้เธอไม่สบาย)
They said the same thing two or three times.
(พวกเขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครั้งแล้ว)
ข้อสังเกต: that,such,sameเป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม
6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคําถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose


ตัวอย่างเช่น:
What book is he reading in the room?
(เขากําลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง)
Which way shall we go?
(เราจะไปทางไหนกันนี่?)
Whose shoes are these?
(รองเท้านี้เป็นของใคร)
ข้อสังเกต: what,which,whoseเป็นคุณศัพท์บอกคําถามอยู่หน้าประโยค
7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir
ตัวอย่างเช่น :
This is my table.
(นี่คือโต๊ะของฉัน)
Her pen is on my desk.
(ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน)
Our nation needs solidarity.
(ชาติของเราต้องการความสามัคคี)
Their parents work hard every day.
(พ่อแม่ของพวกเขาทํางานหนักทุกวัน)
ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม
8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง)
ตัวอย่างเช่น :
The two men had each a gun.
(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)
Every soldier is punctually in his place.
(ทหารทุกคนเข้าประจําที่ของตัวตรงเวลาดี)
Either side is a narrow lane.
(ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ)
Neither accusation is true.
(ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็นความจริง)
ข้อสังเกต: each,every,either,neitherเป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม
9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ)
ตัวอย่างเช่น:
Linda said that she had seen it with her own eyes.
(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)
He is the very man who stole my wrist watch last night.
(เขาคือชายคนนั้นผู้ซึ่งได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี้)
Jean is my own girl-friend.
(จีนคือแฟนผมเอง)
ข้อสังเกต : own,veryเป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนําหนักขึ้น
10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคําอุทาน ได้แก่ what


ตัวอย่างเช่น:
What a man he is!
(เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!)
What an idea it is!
(มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!)
What a piece of work he does!
(เขาทํางานได้เยี่ยมจริงๆ!)
ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คํา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทําหน้าที่คล้ายส้นธาน
เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่
what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)
ตัวอย่างเช่น:
Give me what money you have.
(จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน)
I will take whichever horse you don t want.
(ฉันจะนําเอาม้าตัวที่คุณไม่ต้องการ)
He will read what book he wishes.
[ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน) ]
ข้อสังเกต : What, Whichever เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย
Adjective เวลานำไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ
1. เรียงไว้หน้าคำนามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น
* The thin man can run very quickly.
(คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก)
* A wise boy is able to answer a difficult problem.
(เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาที่ยากได้)
* The beautiful girl is wanted by a young boy.
(สาวสวยย่อมเป็นที่หมายตาของเด็กหนุ่ม)
ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็น คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง


2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell,
turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective
ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา
เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น
* I'm feeling a bit hungry.
(ฉันรู้สึกหิวนิดๆ)
* Sugar tastes sweet.
(น้ำตาลมีรสหวาน)
ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลัง
กริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น
3. เรียงคำนามที่ไปทำหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อ
ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiectiveที่ใช้ใน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็น Objiective Complement เช่น
* Sam made his wife happy.
(แซมทำภรรยาของเขาให้มีความสุข)
* I consider that man mad.
(ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนั้นเป็นบ้า)
*This matter made me foolish.
(เรื่องนี้ทำให้ฉันโกรธไปได้)
ข้อสังเกต: happy,madและ foolish เป็น Adjective ให้เรียง
หลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife,man,me
4. เรียง Adjective ไว้หลังคำนามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมี
บุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น
* A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.
(พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี้)
ข้อสังเกต: posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcalได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today มาขยายตามหลัง


* I have known the manager suitable for his position.
(ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งของเขา)
ข้อสังเกต: suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position มาขยายตามหลัง


* ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjeciveบางตัวเมื่อไปขยายนาม
การใช้ Adjeciveไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjeciveทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นAdjective ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ











Adjective - Equivalent
คือ "คำที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์" ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำที่จะนำมาใช้เสมือนหนึ่ง
เป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้
1. คำนาม (Noun) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น


Yale University is the place for political studies.
(มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาวิชาการเมือง)
ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน
My younger brother wishes to study at SuanDusit College.
(น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต)
ข้อสังเกต : SuanDusitเป็นนาม แต่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้
They have worked in New York City for two years.
(พวกเขาได้ทำงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว)
ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City
2. คำนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( 's ) มาใช้ควบนั้น นำมาใช้เป็น Adjective
ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น
John's house was built in Denver five years ago.
(บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว)
ข้อสังเกต : เป็นคำนามที่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้
The teacher's table is larger than the students.
(โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)
ข้อสังเกต : teacher's เป็นนาม นำมาใช้บยายนาม table ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้
3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น
He has no money to give me for buying a pen.
(เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา)
ข้อสังเกต : to give เป็น Infinitive นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้
This book is good for you to read.
(หนังสือเล่มนี้ดีสำหรับคุณที่จะอ่าน)
ข้อสังเกต : to read เป็น Infinitive นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้
4. Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น
The standing boy is afraid of the running dog.
(เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา)
ข้อสังเกต : standing, running เป็น Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้
5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ingแล้วนำมาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น
Now he is waiting for you in the meeting room.
(เดี๋ยวนี้เขากำลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม)
ข้อสังเกต : meeting เป็น gerund นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room
6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น
The man in this room is our guest.
(ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา)
ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า
He wants to buy the corner.
(เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น)
ข้อสังเกต : on the corner เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า
7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น


This is the house that Jack built.
(นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้)
ข้อสังเกต : that Jack built เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouse ที่วางอยู่ข้างหน้า
I know Mr. Clinton whom you want to see.
(ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ)
ข้อสังเกต : whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clintonซึ่งวางอยู่ข้างหน้า

Adjectives ( articles -a/an )



Articles เป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่ง   การเรียน Articles ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างสับสนสำหรับผู้เรียนซึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language )  เนื่องจากเป็นเรื่องที่มักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็นนามนับได้ และอะไรเป็นนามนับไม่ได้  บางครั้งคำเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มีข้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
หลักการใช้ article นำหน้านาม คือ
เมื่อกล่าวเป็นการทั่วไป
นามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ

นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ
เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะ
จะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้
Articles แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
·         Indefinite Article ได้แก่   และ an ใช้นำหน้านามนับได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทั่วๆไป ( Singular )
·         Definite Article ได้แก่  the  ซึ่งใช้นำหน้าคำนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ทั้งรูปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพื่อให้นามนั้นมีความหมายเฉพาะเจาะจง
การใช้ Indefinite Article : a, an
1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีความหมายทั่วไปในความหมาย หนึ่ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น   a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop  เช่น
He is reading a newspaperเขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์
2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีความหมายทั่วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, an article
It'sraining.You will need an umbrella .ฝนกำลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน.
หมายเหตุ
·         ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นขึ้นต้นด้วยสระ   แต่ว่าออกเสียงเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a   เช่น a uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit
·         ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นมีคุณศัพท์นำหน้าขยาย   ให้ดูดังนี้
   -หากคำคุณศัพท์นั้นขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a  เช่น  a sweet orange, a big umbrella
   -หากขึ้นต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น   an old city, an ugly woman  เป็นต้น
·         ถ้าคำนามนั้นขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ   หรือมี adjective ที่ขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนั้นให้ใช้ an เช่น
   -ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour, an heir, an honor
   -มีคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person
3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งแรก เช่น
There is a shop on the corner.   มีร้านอยู่ 1 ร้านที่หัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็นการพูดถึงครั้งแรก )
4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่า เช่น
A cow is an animal. วัวเป็นสัตว์ขนิดหนึ่ง
= Cows are animals.วัวเป็นสัตว์
An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด
5. ใช้ a, an ในการบอกอัตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น
She runs three miles a day. เธอวิ่งวันละ 10 ไมล์ ( เป็นกิจวัตร )
I go to the cinema about once month. ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครั้ง
6. ใช้ a, an หน้าชื่อเฉพาะของผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักทั่วไป เพราะมีคุณสมบัติ ความสามารถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบ
He is an Einstein. เขาเป็นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่ง ( เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา
     หมายเหตุ แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนั้นมีคนเดียว
He is the Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว)
He is the KhunPhaen of our family.  เขาเป็นคนเจ้าชู้( เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครัวเรา
7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่เป็นสำนวนในประโยคอุทาน เช่น
What a pity !น่าสงสารจัง
What a shame ! น่าอายจัง !
8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่กล่าวถึงการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
My father is a teacher.  อาชีพ
Robert is an American.  เชื้อชาติ
John is a Catholic.   ศาสนา
9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่งหน้าคำนามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการนับจำนวนหรือแสดงจำนวนมาก
a dozen of eggs.
ไข่จำนวน 1 โหล
a gross of pens
ปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of people
ประชาชนจำนวนมาก
a number of friends
เพื่อนจำนวนมาก
10. ใช้ a, an นำหน้านามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย  โครงสร้างคือ have + a+ อาการเจ็บป่วย
have a headache ( ปวดหัว )
have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก )
have a stomachache ( ปวดท้อง )
have a cold ( เป็นหวัด )
have a toothache ( ไม่มี a ก็ได้ ) ( ปวดฟัน )
have a fever ( เป็นไข้ )
ยกเว้นถ้าเป็นชื่อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น
rheumatism( โรคปวดข้อ )
diabetes ( เบาหวาน )
influenza (ไข้หวัดใหญ )
cancer ( มะเร็ง )
เช่น
He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง
He had a pain in the neck.  เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism.  เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ
11. ใช้ a,an ในสำนวนที่มีคำต่อไปนี้นำหน้าคือ    such, quite, rather, many
We didn't expect such a hot day.  เราไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
He is quite a good boy. เขาเป็นเด็กดีทีดียว
It was rather a short trip. มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสั้น
Many a place in Thailand impressed them. สถานที่หลายแห่งในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก
12. ใช้ a, an หลังโครงสร้างต่อไปนี้
so + adjective+a + นามนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นาม ) เช่น
      We didn't expect so great a crowd.  .เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอย่างนี้
too + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์
      This is too hard a job for him.  นี่เป็นงานหนักเกินไปสำหรับเขา
however + adjective + a + นามนับได้เอกพจน
      However nice a girl
 she is, he never like her. ไม่ว่าเธอจะเป็นคนน่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ
as + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์+ as
      
She is as good a student as you are.เธอเป็นนักเรียนที่ดีเช่นเดียวกับคุณ
13. สำนวนในภาษาอังกฤษที่ใช้ a,an
all of a sudden
ทันใดนั้น
in a hurry/rush
อย่างเร่งรีบ
as a matter of fact
อันที่จริงแล้ว
in a good/bad mood
อารมณ์ดี/เสีย
as a rule
ตามปกติ โดยทั่วไป
keep an eye on
เฝ้าดู
do a favor
ช่วยเหลือ
make a decision
ตัดสินใจ
earn a living
หาเลี้ยงชีพ
make a living
หาเลี้ยงชีพ
give an idea
ให้ความคิด
make a mistake
ทำผิด
go for a walk
เดินเล่น
make noise
ทำเสียงดัง
go for ride
นั่งรถเล่น
make a speech
กล่าวสุนทรพจน์
have a good time
สนุกสนาน
make a wish
อธิษฐาน
have a hair cut
ตัดผม
make a fool of
ทำให้ขายหน้า
it's a shame
น่าขายหน้า
make a request
ขอร้อง
it's a pity that
น่าเสียดาย,น่าสงสาร
tell a lie, tell lies
โกหก
take a trip
เดินทาง
take look at
มอง ดู
take a picture
ถ่ายรูป
keep secret
เก็บเป็นความลับ
take a seat
นั่ง
in position to
อยู่ในฐานะที่จะ
with a view to
เพื่อจะทำให้
on large scale
อย่างมาก
on an/the average
โดยเฉลี่ย
make a remark
ให้ข้อสังเกต
couple of
สองสาม
play a joke on
ล้อเล่น
การใช้ a/an และ one
ที่ผ่านมาเป็นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของสิ่งเดียว ( singular ) บางครั้งที่เราต้องการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เช่น
We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยู่ในออสเตรเลีย 1 ปี
She scored one ( or a ) hundred and eighty points.  เธอได้คะแนน 168 คะแนน
จะใช้ one เท่านั้นเมื่อ
·         ต้องการที่จะเน้นว่าสิ่งที่กล่าวถึง มี/เป็น เพียง 1 ไม่ใช่ 2,3,4...... เช่น
Do you want one sandwich or two? คุณต้องการแซนด์วิช 1 หรือ 2 อัน
Are you staying just one night ? คุณจะพักค้างคืนวันเดียวหรือ
·         ใช้ one ในรูปแบบ one ...other / another เช่น
Close one eye, and then the other. ปิดตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงปิดอีกข้าง
Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำเกสรดอกไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้น





Adjectives (Articles - the )


 The เป็น article ที่เมื่อใช้นำหน้านามทั้งนับได้ นับไม่ได้ เอกพจน์ หรือพหูพจน์แล้ว    จะทำให้นามนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงทันที มีหลักสำคัญดังนี้
  • ใช้ The นำหน้านามเอกพจน์และพหูพจน์ที่ชี้เฉพาะเจาะจง เนื่องจากมีข้อความประกอบอยู่ ข้อความที่ประกอบอาจนำหน้าด้วย in, at, on หรือ preposition ,วลี ( phrase ) , หรืออนุประโยค ( clause ) อื่นๆ เช่น
Tom sat down on a chair. ทอมนั่งลงบนเก้าอี้( ซึ่งอาจจะมีหลายตัวในห้องนั้น )
Tom sat down on
 the chair nearest the door. ทอมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด( เฉพาะเจาะจง )

Ann is looking for 
a job. แอนกำลังหางานทำ ( เป็นการพูดไม่เฉพาะเจาะจง )
Did Ann get
 the job she applied for? แอนได้งานที่เธอไปสมัครไว้หรือไม่ (เฉพาะเจาะจง)

The man who wrote this book is famous. ผู้ชายที่เขียนเรื่องนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียง ( เฉพาะเจาะจง )
  • ใช้ The หน้านามซึ่งชี้เฉพาะโดยปริยายเนื่องจากผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่าหมายถึงสิ่งไหน หรือพูดถึงบุคคลใด เช่น
Have you got a car ?     คุณมีรถหรือไม่ ( ใช้ a เพราะไม่ระบุเฉพาะเจาะจง )แต่
I cleaned 
the car yesterday.     ฉันล้างรถเมื่อวานนี้ . (ใช้ the ในกรณีผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่าหมายถึงรถของผู้พูด)

The house needs to be painted.    บ้านนี้ควรจะทาสีใหม่ได้แล้ว
( ใช้ 
the house ในกรณีที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกันว่าเป็นบ้านหลังไหนถึงแม้จะเป็นการพูดถึงครั้งแรก
เช่น อาจจะกำลังพูดในบ้านหลังนั้นก็ได้ )

“I would like 
a glass of water, please,” John said. จอห์นพูดว่าขอน้ำผมสักแก้วได้ไหม
“I put 
the glass of water on the counter already” Jane said
เจนตอบว่า ฉันเอาแก้วน้ำวางให้บนเคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว
  • ข้อยกเว้น ถ้ามีคำขยาย ( modifier ) อยู่ระหว่าง article และคำนาม   article นั้นจะยังคงรูปไม่เฉพาะเจาะจง ดังนี้
“I would like a big glass of water, please,” ( มีbig อยู่ระหว่าง a ( article ) ละ glass ( นาม )
“ I put 
a big glass of water on the counter already” ยังคงใช้ a ซึ่งเป็นรูปไม่เฉพาะเจาะจง
  • ใช้ The เมื่อเป็นการพูดถึงในครั้งต่อมา เป็นการต่อเนื่อง
I saw a funny-looking dog yesterday. When it saw my cat, the dog ran away.
ฉันเจอสุนัขหน้าตาตลกดีตัวหนึ่งเมื่อวานนี้ พอมันเจอแมวของฉันมันก็วิ่งหนีไป
     ( ใช้ 
ในประโยคแรกเพราะพูดถึงเป็นครั้งแรก ผู้ฟังไม่รู้ว่าสุนัขตัวไหน แต่เมื่อพูดประโยคต่อไปใช้ the dog 
      เพราะทั้งผู้ฟังและผู้พูดรู้ว่าหมายถึงสุนัขตัวไหน
I went to 
a movie last night. The movie was very good. ฉันไปดูภาพยนตร์เมื่อคืนนี้ เป็นภาพยนต์ที่ดีมาก
  • ใช้ The กับนามเอกพจน์นับได้ที่มีความหมายถึงนามนั้นทั้งจำพวก หรือเป็นตัวแทนของชนิด ( class ) เดียวกัน มีลักษณะเป็นนามธรรม ( abstract ) เช่น
    The tiger is a dangerous animal . เสือเป็นสัตว์ที่อันตรายมาก ( เสือในความหมายทั่วไปซึ่งเป็นสัตว์อย่างหนึ่ง )

    เปรียบเทียบกับประโยคต่อไปนี้ ซึ่งมีความหมายคล้ายกัน
    A tiger is a dangerous animal ( เสือตัวไม่ว่าตัวไหนก็ตาม เป็นสัตว์อันตราย )
    Tigers are dangerous animals.( เสือทุกตัวเป็นสัตว์อันตราย )

    The computer is an important research tool.    คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำคัยในการทำวิจัย
    สามารถใช้ประโยคต่อไปนี้แทนได้
    A computer is an important research tool.   เพราะคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวก็สามารถทำงานวิจัยได้

    แต่ประโยคต่อไปนี้จะใช้ 
    ไม่ได้
    The computer has revolutionized publishing. คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดวิวัฒนาการของการพิมพ์ .
    ( ไม่ใช้
     A computer has revolutionized publishing ซึ่งคอมพิวเตอร์ในนี้ที่หมายถึงคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
      ไม่สามารถทำให้เกิดวิวัฒนาการของการพิมพ์ได้ )
The bicycle is an excellent means of transport. รถจักรยานเป็นพาหนะการเดินทางที่ยอดเยี่ยม
  ( ใช้ 
The bicycle ในฐานะเป็นชนิดของยานพาหนะ ไม่ใช่ในฐานะจักรยานคันหนึ่งคันใด)

The giraffe is the tallest of all animal . ยีราฟเป็นสัตว์ที่สูงที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด.
( ยีราฟในฐานะเป็นสัตว์อย่างหนึ่ง)

เปรียบเทียบกับประโยคนี้
We saw 
a giraffe at the zoo. เราเห็นยีราฟตัวหนึ่งที่สวนสัตว์

The golden retriever is a marvelous pet for children.
สุนัขพันธุ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์เป็นสัตว์เลี้ยงที่วิเศษสำหรับเด็ก
(สุนัขพันธุ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์โดยทั่วไป )

The dollar is the currency (= money) of the United State. ดอลลาร์เป็นสกุลเงินตราของสหรัฐอเมริกา

When was 
the telephone invented. ได้มีการคิดค้นโทรศัพท์ขึ้นมาได้เมื่อใด

Do you often listen to 
the radio? คุณฟังวิทยุบ่อยไหม
แต่ television ไม่มี the เช่น I often watch television ฉันดูโทรทัศน์บ่อย
      ยกเว้นในกรณีที่หมายถึงเฉพาะเจาะจง เช่น
Can you turn off 
the television, please? กรุณาปิดโทรทัศน์ให้หน่อย
      the television ในที่นี้หมายถึง the television set

I often go to 
the cinema but haven’t been to the theater for ages.
ฉันไปดูภาพยนต์บ่อยแต่ไม่ได้ดูละครเวทีมานานแล้ว ( นามธรรม)

เปรียบเทียบกับประโยคต่อไปนี้
There isn’t 
a cinema in this town. เมืองนี้ไม่มีโรงภาพยนต์รเลย ( รูปธรรม )
I like 
the screen more than the stage. ฉันขอบหนังมากกว่าละคร  (นามธรรม)

ข้อยกเว้น : the ไม่ใช้กับ man ในความหมายแทนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ดังนี้
Man has invented many things. ไม่ใช้ the man
The dolphin may be as intelligent as man. ไม่ใช้ the man แต่โปรดสังเกตว่าใช้ the dolphin

หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ใช้กับ อุปกรณ์ดนตรี เช่น the guitar , the piano, the violin เช่น
Can you play 
the guitar.
The piano is my favorite instrument.
Who is playing 
the violin.

เปรียบเทียบกับประโยคต่อไปนี้ซึ่งนามเอกพจน์ดังกล่าวมีความหมายทั่วๆไปเป็นรูปธรรม
I’d like to have 
a guitar.   ฉันอยากได้กีตาร์สักตัวหนึ่ง
  •   ใช้ the กับคุณศัพท์ ( โดยไม่มีคำนาม )แต่ทำหน้าที่เป็นคำนาม เมื่อต้องการกล่าวถึงกลุ่มคนต่างๆ ( มีความหมายเป็นพหูพจน์ ) เช่น the young , the elderly, the poor,the rich, the homeless, the disabled the dead , the sick. the injured, the blind เช่น
Do you think the rich should pay more taxes to help the poor?
คุณคิดว่าคนรวยควรจะต้องเสียภาษีมากขึ้นเพื่อช่วยคนจนหรือไม่
The homeless need more help from the government.
พวกคนเร่ร่อน ( ไม่มีที่อยู่อาศัย) ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากกว่า
The injured were taken to the hospital last night.
ผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อคืนที่แล้ว
  • ใช้ the นำหน้าคำคุณศัพท์ที่ทำหน้าที่เป็นคำนามแสดงสัญชาติ ซึ่งหมายถึงประชาชนของทั้งประเทศนั้น ที่ลงท้ายด้วยเสียง ch, s,sh, หรือ z และ -eseเช่น the French, the Irish, the English, the Dutch, the Chinese, the Japanese เช่น

    The French are famous for their food. ชาวฝรั่งเศสมีชื่อเสียงในด้านอาหารมาก 
    The Irish
     are known as poets and song writers. ชาวไอริชมีชื่อเสียงในด้านบทกวีและบทเพลง
คำเหล่านี้ มีความหมายเป็นพหูพจน์  เมื่อจะใช้เป็นเอกพจน์ต้องใช้    A French man, an English woman
สำหรับคำที่ลงท้ายด้วย -eseเช่น the Chinese , the Japanese เป็นต้น มีความหมายเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ได้
แต่เมื่อใช้เป็นเอกพจน์เท่านั้นต้องใช้ a Chinese , a Japanese.
The Chinese are very hard-working. ชาวจีนเป็นผุ้ที่ทำงานหนัก
แต่คำคุณศัพท์ที่ทำหน้าที่เป็นคำนามแสดงสัญชาติที่ลงท้ายนอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ข้างต้น เมื่อเป็นพหูพจน์จะต้องเติม s ท้ายคำนามนั้น
และนิยมใช้โดยไม่มี the  ( แต่อาจมีก็ได้ ) เช่น
Argentineans like to eat beef.  ชาวอาร์เจนตินาชอบกินเนื้อวัว
Canadians have a tradition of playing hockey. ชาวแคนาดามีประเพณีการเล่นฮ๊อกกี้
หมายเหตุ เป็นคำคุณศัพท์แสดงภาษา ไม่ต้องมี article เช่น
English is spoken here. ที่นี่พูดภาษาอังกฤษ
I am learning 
Chinese. ฉันกำลังเรียนภาษาจีน
แต่ถ้ามีคำนามประกอบจะต้องมี the ด้วย เช่น
He can speak 
the English language.
  • ใช้ the  กับคุณศัพท์ขั้นสูงสุด คือ Superlative Degree เมื่อนำไปใช้ประกอบนามหรือขยายหน้านาม แสดงลำดับที่ เช่น
    She is 
    the prettiest girl  in town. เธอเป็นคนสวยที่สุดของเมืองนี้
    That was 
    the most important news of the day. นั่นเป็นข่าวสำคัญที่สุดของวันนี้
    This hotel was 
    the cheapest I could find. โรงแรมนี้ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้
เมื่อ most นำหน้าคุณคัพท์ในความหมายว่า มากที่สุด ( very , extremely ) สามารถใช้ a กับนามเอกพจน์นับได้
และไม่มี article เลยกับนามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ เช่น
He was 
a most peculiar – looking man. = very peculiar-looking   เขาเป็นคนหน้าตาประหลาดที่สุดที่เคยเห็นมา
     ( ใช้  a  กับนามเอกพจน์ นับได้ ) 
It was most expensive
 wine. = extremely expensive   มันเป็นไวน์ที่มีราคาแพง
     (  ไม่มีarticle กับนามนับไม่ได้ )
  • ใช้ the กับคุณศัพท์บอกลำดับที่ เมื่อนำไปใช้ประกอบนาม หรือขยายหน้านาม เช่น  the first , the last , the second
    Jane is 
    the second child of her family. เจนเป็นลูกคนที่สองของครอบครัวเธอ
หมายเหต
*ชื่อถนนที่มีลำดับ ไม่ต้อง มี the เช่น He lives on Fifth Avenue. เขาอาศัยอยู่ที่ถนนฟิฟท์อเวนิว
*ถ้าคุณศัพท์บอกลำดับที่ นำมาใช้อย่างคำนาม ไม่ต้องใช้ the เช่น
      Who want to speak first? ใครอยากจะพูดเป็นคนแรก
  • ใช้ the กับสำนวนการเปรียบเทียบขั้นกว่า ( Comparative Degree ) ของการกระทำ 2 อย่างที่เท่าเทียมกัน    โดยใช้ the นำหน้าคุณศัพท์ขั้นกว่าทั้ง 2 แห่ง โครงสร้างคือ
    the + คุณศัพท์ขั้นกว่า…., + the + คุณศัพท์ขั้นกว่า……. เช่น
The more you have, the more you want.    ยิ่งมีมาก ยิ่งต้องการมาก
The farther we went, the lonelier we felt.    ยิ่งไปไกล (ก้าวหน้า) เท่าไร ยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้น
  • ใช้ The กับคำนามที่มีเพียงสิ่งเดียว และเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น
    the moon,  the sun,  the earth, the universe, the ground, the sky, the wind
    the sea, the weather, the climate, the atmosphere, the environment
    the public, the future, the past, the country
ข้อยกเว้น
*เมื่อต้องการบรรยายเฉพาะเจาะจง สามารถใช้ a ได้ เช่น
ใช้ 
 the - She could hear the wind blowing outside. เธอได้ยินเสียงลมพัดอยู่ข้างนอก ( ลมทั่วไป )
ใช้ 
a  - There is a cold wind blowing from the north. มีลมหนาวพัดมาจากทางเหนือ ( เจาะจง )
ใช้  
the - What are your plans for the future? เธอมีแผนการสำหรับอนาคตอย่างไร
ใช้ 
a - She dreamt of a future where she can spend more time traveling.       
    เธอฝันถึงอนาคตซึ่งเธอจะมีเวลามากพอสำหรับการท่องเที่ยว

*Space เมื่อหมายความถึง ห้วงอวกาศในจักรวาล ไม่มี article
There are millions of stars in
 space.
แต่ถ้าหมายถึง ที่ว่าง สามารถใช้ the
I tried to park my car but
 the space was too small.
  • ใช้ the กับตำแหน่งสำคัญ หรือตำแหน่งที่ทุกคนรู้ว่าหมายถึงใคร เช่น  the Priminister- นายกรัฐมนตรี, the President -ประธานาธิบดี (ของประเทศนั้น), the King , the Queen ( ของประเทศนั้น แต่ถ้าเขียนรวมกันใช้ the King and Queen ไม่ใช้ the King and the Queen )   หรือ the president- ประธานบริษัท ( ของบริษัทนั้น- ไม่ใช้ตัวใหญ่ )  the principal อาจารย์ใหญ่ ( ของโรงเรียนนั้น)
แต่ถ้า ตำแหน่งนั้นมีชื่อตามหลัง ไม่ต้องใช้ the นำหน้า เช่น President George W. Bush ,  PriministerTaksinShinawat
  • ใช้ the นำหน้าชื่อทิศทางเมื่อต้องการใช้อย่างคำนาม เช่น    the north , the east, the left, the right
    You must turn to 
    the right   at the corner. คุณต้องเลี้ยวขวาที่หัวมุม
    He is going to 
    the south and I am going to the north. เขาจะไปทางใต้ ส่วนฉันจะไปทางเหนือ
แต่หากเป็นชื่อทิศที่เป็นชื่อภาค ต้องมี the และนำด้วยอักษรตัวใหญ่
The climate is drier in the North-east .อากาศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห้ง ( กว่าภาคอื่นในประเทศ )
ข้อยกเว้น 
1. ใช้อย่างคุณศัพท์ ไม่ต้องมี the แต่เปลี่ยนรูปเป็น southern , northern เช่น
    Sweden is in 
northern Europe, Spain is in the south .
    สวีเดนอยู่ทางเหนือของยุโรป ส่วนสเปนอยู่ทางใต้
      ( ประโยคแรก northern ใช้อย่างคุณศัพท์ ประโยคหลัง the south ใช้อย่างคำนาม )
2. ถ้าใช้อย่างกริยาวิเศษณ์ ( 
adverb ) ไม่ต้องมี the
   You must turn
 right at the corner. คุณจะต้องเลี้ยวขวาที่หัวมุม ( right ขยายกริยา turn )
   He is going 
south and I am going north ( south และ north ขยายกริยา going )
  • ใช้ the นำหน้าคำ appositive ซึ่งเป็นคำนามตามด้วย preposition phrase เช่น
    Bangkok ,
     the capital of Thailand, is a populous city. กรุงเทพเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น
    ( capital เป็นคำนาม of Thailand เป็น prepositional phrase,
     the capital of Thailand เป็น appositive ขยาย Bangkok)
    Mr.Somchai, 
    the president of our club , was known for his inspirational speeches.
    คุณสมชายซึ่งเป็นประธานคลับของเราได้ชื่อว่ามีสุนทรพจน์ที่โน้มน้าวใจคนฟัง
    (of our club เป็น prepositional phrase, the president of our club เป็น appositive )  
  • ใช้ the กับคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน มีรูปเป็นพหูพจน์และหมายถึงคนทั้งหลายในครอบครัวนั้น เช่น
    The Robinsons go to church every Sunday.  ครอบครัวโรบินสันไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์
    The James are really nice people.  ครอบครัวเจมส์เป็นคนน่ารัก
  • ชื่อฤดู ถ้าใช้เดียวๆ ไม่ต้องมี the นำหน้า แต่ถ้าใช้ในรูปวลี ( phrase ) ต้องใช้ the เช่น in the summer     แต่ถ้าเป็นฤดูที่นำคำธรรมดามาตั้งชื่อ ต้องใช้ the นำ เช่น  the dry season, the rainy season, the hot season
  • ใช้นำหน้าสำนวนต่อไปนี้
    ขั้นตอน :   the beginning , the middle, the end
    ลำดับเวลาต่อเนื่อง: the past , the present , the future
    ภาคเวลาของวัน:     in the morning, in the afternoon, in the evening
    ยกเว้น      at noon, at night, at midday, at midnight ไม่ต้องใช้ the 
  • ใช้ The นำหน้านามที่เป็นชื่อส่วนต่างๆของร่างกายเมื่อกล่าวถึงเป็นการทั่วไป เช่น the hair , the head, the neck, the leg
  • ใช้ the นำหน้านามที่เป็นสำนวนของการ ชั่ง ตวง วัด ที่มี by นำหน้า เช่น
    We sell cloth 
    by the yard .เราขายผ้าเป็นหลา
    We sell fruit 
    by the kilo. เราขายผลไม้เป็นกิโล
  • ใช้ the กับชื่อเฉพาะ ( proper noun)
    *ชื่อเฉพาะของลักษณะทางภูมิศาสตร์ได้แก่ แม่น้ำ มหาสมุทร ทะเล อ่าว คลอง ช่องแคบ คาบสมุทร ทะเลทราย หมู่เกาะ เทือกเขา กลุ่มทะเลสาบ แหลม ป่า
    แม่น้ำ : the Chow Praya (River ) , the Nile, the Thames, the Mississippi
    มหาสมุทร: the Pacific ( Ocean ), the Atlantic ( Ocean ), the Indian Ocean,
    ทะเล : the Mediterranean (Sea) , the Dead Sea, the China Sea, the Red Sea
    อ่าว : the Gulf of Thailand , the Gulf of Mexico, the Persian Gulf
    คลอง : The Suez ( Canal ), the Panama ( Canal )
    ช่องแคบ: the English Channel, the Straight of Malacca, the Straight of Gibraltar
    คาบสมุทร : the Indo-China Peninsula, the Scandinavian Peninsula, the Iberian Peninsula
    ทะเลทราย: the Sahara ( Desert ) , the Gobi (Desert)
    แหลม : the Cape of Good Hope ( แต่ถ้าไม่มี of ไม่ต้องใช้ the เช่น Cape Canaveral )
    ป่า: the Black Forest ,the Redwood Forest, the Amazon Forest.

    *เมื่อต้องการบรรยายเฉพาะเจาะจง สามารถใช้ a ได้ เช่น ชื่อเฉพาะที่ได้มาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ : the Equator, the North Pole, the South Pole, the Middle East, the Great Barrier Reef
  •  ใช้ the กับชื่อเฉพาะต่อไปนี้ถ้าเป็นรูปพหูพจน์ เช่นหมู่เกาะ    และไม่ต้องมี the ถ้าเป็นเอกพจน์ 

the +รูปพหูพจน์
ไม่มี the + รูปเอกพจน์
เกาะ
the West Indies, the Philippines, the Canary Islands, the Bahamas,
Easter Island, Key West ,Ceylon , Sumatra
ภูเขา
the Himalayas, the Alps, the Rockies ( หรือ the Rocky Mountains ), the Andes
Mount Everest ,Mount Fuji, Mount Etna
ทะเลสาบ
the Great Lakes
the Finger Lakes (ในรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา)
Lake Michigan, Lake Huron , Lake Superior
ประเทศ
the Netherlands, the Philippines, the United States of America
Japan, Italy, Mexico, Canada Germany, Thailand, England
ยกเว้นถ้าใช้กับ Kingdom, Republic มี the เช่น
The Kingdom of Thailand
The United Arab Republic
The united Kingdom
The Dominican Republic
The Czech Republic

  • ใช้ the กับชื่อสถานที่และสิ่งของสำคัญ
พิพิธภัณฑ์ :    
the British Museum, the Smithsonian Institution, the Louvre
ห้องสมุด : 
the National Library of Medicine , the Library of Congress, the British Library ,the John F. Kennedy Library. The Lyndon Baines Johnson Library
โรงแรม:  
the Erawan Hotel, the Hilton Hotel
โรงภาพยนต์/ละคร
the Scala theater, the National Theater,
ภัตราคาร:  
the Ban Thai Restaurant
องค์กร
the European Union, the BBC ( the British Broadcasting Corporation ),

the Siam Commercial Bank, the Bangkok Bank , the Rockefeller Foundation,

the Football Association of Thailand, the Bangkok Rotary Club , the Army, the Navy
หนังสือพิมพ์รายวัน
the Bangkok Post, the Thai Rath, the Washington Post,

the Eiffel Tower, the TajMahal, the Victory Monument, the White House, >
>อาคาร สิ่งก่อสร้างสำคัญ
the Empire State Building, the Vatican

the Civil War, the Vietnam War, the French Revolution, the Renaissance,
เหตุการณ์/ยุคสำคัญ :
the Fourth of July ( วันชาติสหรัฐอเมริกา )
หนังสือสำคัญ:  
เช่น the Bible, the Tripitaka ( พระไตรปิฎก )
  • หลักโดยทั่วไปคำนามทีมี ….of…..ส่วนมากมี the
    the Bank of Thailand, the Tower of London,  the House of Parliament, the Great Wall of China,
    the University of London ( แต่ถ้าใช้ London University ไม่มี the ),  the Statue of Liberty